บลจ.อีสท์สปริง เปิดตัวกองทุนใหม่ “ES-GQG-UH” ลงทุนหุ้นคุณภาพดีทั่วโลก IPO 24-30 เม.ย. 68 นี้
บลจ.อีสท์สปริง เปิดตัวกองทุนใหม่ “อีสท์สปริง Global Quality Growth-Unhedged (ES-GQG-UH)” เน้นลงทุนหุ้นคุณภาพดีทั่วโลกผ่านกองหลัก Wellington Global Quality Growth Fund เพื่อโอกาสลงทุนระยะยาว เปิดขายระหว่างวันที่ 24-30 เมษายน 2568 นี้
นางสาวดารบุษป์ ปภาพจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ บลจ.อีสท์สปริง เปิดเผยว่า
ปัจจุบันกองทุนเปิดอีสท์สปริง Global Quality Growth (ES-GQG) ที่เน้นโอกาสการลงทุนระยะยาวในหุ้นเติบโตคุณภาพดีทั่วโลก ได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้ลงทุนส่งผลให้กองทุนมีขนาดใหญ่ โดยมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิอยู่ที่ 20,165.207 ล้านบาท (ที่มา : บลจ.อีสท์สปริง ณ วันที่ 17 เมษายน 2568)
ดังนั้นเพื่อตอบรับความต้องการดังกล่าว จึงได้เปิดเสนอขายกองทุนใหม่เพิ่มขึ้นอีก 1 กอง ได้แก่ กองทุนเปิดอีสท์สปริง Global Quality Growth-Unhedged (ES-GQG-UH) ไม่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งมีนโยบายเน้นลงทุนผ่านกองทุนหลัก Wellington Global Quality Growth Fund หน่วยลงทุนชนิด S Acc Unhedged ในอัตราส่วนโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน
ซึ่งบริหารจัดการโดย WELLINGTON LUXENBOURG S.a.r.l. และลงทุนในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยมีมูลค่าโครงการ 5,000 ล้านบาท และเปิดเสนอขายครั้งแรกระหว่างวันที่ 24-30 เมษายน 2568 ด้วยมูลค่าเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 1 บาท
ทั้งนี้กองทุนหลัก Wellington Global Quality Growth Fund มีวัตถุประสงค์มุ่งผลตอบแทนในระยะยาวและมุ่งหวังให้ผลตอบแทนมากกว่าดัชนีชี้วัด โดยลงทุนในตราสารทุนและตราสารที่เกี่ยวข้องกับตราสารทุน (equity- related securities) ของบริษัทต่างๆ ทั่วโลก
ซึ่งผู้จัดการกองทุนจะบริหารกองทุนเชิงรุกโดยใช้การวิเคราะห์เชิงปัจจัยพื้นฐานเเบบ Bottom-up ซึ่งมุ่งเน้นไปที่บริษัทมีคุณสมบัติ คือ คุณภาพ (Quality) อัตราการเติบโต (Growth) ศักยภาพบนมูลค่าของกิจการ (Valuation Upside) และผลตอบแทนจากการลงทุน (Capital Return)
โดยผู้จัดการกองทุนมีเป้าหมายที่จะลงทุนในบริษัทชั้นนําราว 60-90 บริษัท ที่มีประสิทธิภาพในการดําเนินงาน สามารถสร้างการเติบโตของส่วนแบ่งทางการตลาดในอุตสาหกรรม และ มีการปรับประมาณการกําไรเพิ่มขึ้นในระยะยาว (ที่มา: Wellington Global Quality Growth Factsheet ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568)
บลจ.อีสท์สปริง มองว่า การลงทุนในหุ้นโลกเติบโตดีคุณภาพสูงในระยะยาว เป็นโอกาสการลงทุนในหุ้นเติบโตทั่วโลกที่มีนวัตกรรม ทรัพยากร โมเดลธุรกิจที่แข็งแกร่ง เช่น กลุ่มเทคโนโลยี, สุขภาพ,การเงินสมัยใหม่ หรือผู้เล่นระดับโลกที่มีความสามารถในด้านการแข่งขันทำให้มีโอกาสสร้างผลตอบแทนเหนือกว่าตลาดในระยะยาว
นอกจากนี้หุ้นคุณภาพสูงมักมีโครงสร้างธุรกิจที่แข็งแกร่ง หนี้สินต่ำ และสามารถสร้างผลกำไรได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวก็ยังรักษาอัตรากำไรหรือปรับตัวได้ดี ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงและทำให้พอร์ตลงทุนมีเสถียรภาพ
นอกจากนี้การลงทุนในหุ้นโลกช่วยกระจายความเสี่ยงจากเศรษฐกิจของประเทศใดประเทศหนึ่ง ส่วนหุ้นเติบโตคุณภาพดีมักสามารถปรับราคาสินค้าและบริการให้สอดคล้องกับเงินเฟ้อได้ ทำให้มูลค่าของบริษัทและผลตอบแทนไม่ถูกลดทอนลงในระยะยาว
สำหรับรายชื่อหุ้นที่กองทุนหลักถือครองสูงสุด 5 อันดับแรก คือ
1. Apple Inc สัดส่วน 4%
2. NVIDIA Corp สัดส่วน 4%
3. Amazon.com Inc สัดส่วน 3.5%
4. Alphabet Inc สัดส่วน 3.4% และ
5. Microsoft Corp สัดส่วน 2.9%
โดยมีสัดส่วนการลงทุนรายอุตสาหกรรม 5 อันดับแรก ประกอบด้วย
1. กลุ่ม Information Technology สัดส่วน 21.4%
2. กลุ่ม Financials 21%
3. กลุ่ม Health Care 12.7%
4. กลุ่ม Communication Services 12.7% และ
5.กลุ่ม Consumer Discretionary 12.2% (ที่มา: Wellington Global Quality Growth Factsheet ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568)
“จุดเด่นของกองทุน ES-GQG-UH คือ กองทุนหลักมีการบริหารจัดการโดยการเน้นลงทุนในกิจการพื้นฐานดีทั่วโลก ที่มีจุดเด่นมีความสามารถในการแข่งขันจากคุณภาพกิจการที่โดดเด่น และมีคุณภาพของกิจการในการเติบโตในระยะยาว
นอกจากนี้กองทุนหลักยังมีผลการดำเนินงานที่น่าสนใจ และได้รับการจัดอันดับ Morningstar 5 ดาว ณ ปัจจุบัน ซึ่งสะท้อนเรื่องการบริหารความผลตอบแทนต่อความเสี่ยงที่ดี
ตลอดจนทีมงานที่มีประสบการณ์บริหารจัดการกองทุนอย่างยาวนานและมีผู้จัดการกองทุนหลักอยู่ในวงการประสบการณ์ด้านการลงทุนมากกว่า 32 ปี (ที่มา: Wellington Global Quality Growth Factsheet ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568)” นางสาวดารบุษป์ กล่าว พร้อมให้มุมมองการลงทุนว่า
หลังจากที่สหรัฐฯมีการเลื่อนการเก็บภาษีตอบโต้ออกไป 90 วัน ซึ่งตลาดหุ้นตอบรับในทางบวกจากการระงับการเก็บภาษีตอบโต้กับหลายประเทศ อย่างไรก็ตามประเมินว่าความผันผวนโดยรวมจะลดลงชั่วคราว
ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ น่าจะชะลอลงในช่วงที่เหลือของปี โดยประเมินว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯ แนวโน้มลดลงจาก 2.4% เหลือเพียง 0.6% – 0.8% ในปีนี้ ขณะที่เงินเฟ้ออาจเพิ่มขึ้นใกล้ 4.5% ภายในสิ้นปี คาดว่าการว่างงานจะเพิ่มขึ้นเกิน 4.5% ภายในไตรมาส 4
ซึ่งอาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ลดดอกเบี้ยลง 0.50% ภายในเดือนธันวาคม และมีความเสี่ยงสูงที่จะต้องลดเพิ่มอีก 0.75% – 1.00% ในปีหน้า (ที่มา: อีสท์สปริง อินเวสท์เมนทส์ ณ วันที่ 14 เมษายน 2568)
ทั้งนี้สรุปประเด็น 3 ข้อจากการเปลี่ยนนโยบายไปมาของทรัมป์ คือ
1. แม้มาตรการจะผ่อนคลายลง แต่สุดท้ายแล้วเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังเผชิญภาษีนำเข้าสูงกว่า 10%
2.การเจรจาการค้ากับมากกว่า 70 ประเทศน่าจะทำให้ระบบภาษีและกฎการค้าซับซ้อนมากขึ้น และ
3.ความไม่แน่นอนทางธุรกิจจะยังคงอยู่ต่อไปอีกหลายเดือนหรือเป็นปี ในขณะเดียวกันยุโรปและประเทศในเอเชียเริ่มมีการผ่อนคลายนโยบายการเงินโดยธนาคารกลางอินเดียลดดอกเบี้ยไปแล้ว คาดว่าเกาหลีใต้และไทยจะลดดอกเบี้ยอีกในช่วงที่เหลือของปีนี้
จากความผันผวนและความไม่แน่นอนจากนโยบายที่เกิดขึ้น ทำให้การลงทุนมีการจับจังหวะตลาดได้ยากขึ้น ดังนั้นแนะนำผู้ลงทุนกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสมรวมถึงเลือกลงทุนในบริษัทที่มีคุณภาพ มีการเติบโตที่ดี มีกระแสเงินสดที่สูงซึ่งสามารถทนทานต่อสภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนได้
ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.eastspring.co.th หรือโทร 1725
ยักษ์ลงทุน http://www.yaklongtun.com