STA โตแรง Q3 ทำกำไรสุทธิ 517.3 ล้านบาท พุ่งกว่า 226% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนรับปริมาณขายยางรวมทะลุ 3.8 แสนตัน เพิ่มขึ้นกว่า 53% พร้อมราคาขายยางและยอดขายยาง EUDR เพิ่มสูงขึ้น หนุนกำไรเติบโต คาด Q4 ดีต่อเนื่อง
“บมจ.ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี” (“STA” หรือ “บริษัทฯ”) โชว์ผลงานโดดเด่นในไตร มาส 3/2567 ทำกำไรสุทธิ 517.3 ล้านบาท พุ่งแรง 226.1% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีรายได้จากการขายและบริการ 31,618.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 87.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน รับปริมาณขายยางธรรมชาติรวมทะลุ 3.8 แสนตัน เพิ่มขึ้นถึง 53.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
และราคาขายยางธรรมชาติที่เพิ่ มขึ้นติดต่อกัน 6 ไตรมาส ส่งผลให้ 9 เดือนแรกของปีนี้ มีรายได้จากการขายและบริการ 81,116.9 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 816.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.7% และพลิกกลับมาทำกำไรจากช่วงเดี ยวกันของปีก่อน
มองไตรมาสสุดท้ายโตต่อเนื่อง คาดการณ์ปริมาณการขายเพิ่มสูงขึ้ น รวมถึงประเมินราคาขายยางมี แนวโน้มเพิ่มขึ้นอีก หลังขยับขึ้นในเดือนตุลาคมที่ผ่ านมา
นายวีรสิทธิ์ สินเจริญกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ และกรรมการบริหาร บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA ผู้นำธุรกิจยางธรรมชาติ ครบวงจรรายใหญ่ที่ สุ ดของโลกและผู้ผลิตถุงมือยางอั นดับหนึ่งของประเทศไทย เปิดเผยว่าผลการดำเนินงาน ไตรมาส 3/2567 เติบโตอย่างแข็งแกร่งจากปริ มาณการขายยางธรรมชาติที่เพิ่มขึ้ นอย่างต่อเนื่อง และราคาขายยางเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้ นอยู่ในระดับสูง
โดยบริษัทฯ มีรายได้จากการขายและบริการ 31,618.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี ก่อน และมีกำไรสุทธิ 517.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 226.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี ก่อน ซึ่งมาจากปริ มาณการขายยางธรรมชาติรวมทุ กประเภทที่เพิ่มขึ้นเป็น 380,565 ตัน เพิ่มขึ้นถึง 53.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 15.5% จากไตรมาสก่อนหน้า และเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่ อง 4 ไตรมาสติดต่อกัน
ประกอบกับราคายางเฉลี่ยอยู่ที่ 186.2 เซนต์ต่อกิโลกรัม เพิ่มขึ้น 30% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 6 ไตรมาส รวมถึงปริมาณซัพพลายยางเข้าสู่ ตลาดอยู่ในระดับที่ดีจากการเปิ ดฤดูกาลกรีดยางได้ตามปกติ นอกจากนี้ กำไรขั้นต้นรวมอยู่ที่ 10.4% ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 8.8% ในปีก่อน
เนื่องจากการผสมผสานยอดขายยาง EUDR เข้ากับยางธรรมชาติทั่วไปที่หนุ นกำไรเติบโตโดดเด่น อย่างไรก็ดี ธุรกิจถุงมือยางชะลอตั วลงในไตรมาส 3/2567 จากผลกระทบของค่าเงินบาทแข็งอย่ างรวดเร็ว แต่มีสัญญาณที่ดีจากปริ มาณการขายที่เติบโตถึง 26.3% จากปีก่อน
ขณะที่ภาพรวมผลการดำเนินงานช่วง 9 เดือนแรกปี 2567 เติบโตได้ดีเช่นเดียวกัน โดยมีรายได้จากการขายและบริการ 81,116.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.7% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 816.0 ล้านบาท พลิกจากผลขาดทุนในช่วงเดียวกั นของปีก่อน โดยมีปริมาณการขายยางธรรมชาติทุ กประเภทรวม 1.0 ล้านตัน
นายวีรสิทธิ์ กล่าวต่อว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2567 คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่ องจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งคาดการณ์ปริ มาณการขายยางธรรมชาติ และราคาขายยางเฉลี่ยมีแนวโน้ มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยภายหลังจากที่รัฐบาลจี นออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้ งใหญ่ช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่ านมา ส่งผลให้ราคายางแท่ง ณ ตลาด SICOM พุ่งสูงสุดแตะ 218.7 เซนต์ต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นราคาสูงสุดในรอบ 7 ปี
นอกจากนี้ มาตรการดังกล่าวยังคาดว่าจะส่ งผลดีต่อดีมานด์ในอุ ตสาหกรรมยางธรรมชาติ ส่วนสถานการณ์ความต้องการยาง EUDR บริษัทฯ ยังคงมีคำสั่งซื้อล่วงหน้ าในไตรมาส 4/2567 โดยขณะนี้อยู่ระหว่างรอความชั ดเจนจากสหภาพยุโรปว่าจะเลื่ อนการบังคับใช้กฎหมาย EUDR หรือไม่ จากกำหนดเดิมที่จะเริ่มบังคั บใช้ในสิ้นปี 2567
ซึ่งมีผลให้การส่ งออกยางธรรมชาติและผลิตภัณฑ์ที่ แปรรูปจากยางธรรมชาติไปยังทวี ปยุโรปต้องผ่านการตรวจสอบย้ อนกลับ (Traceability) แหล่งที่มาของผลผลิต เพื่อแสดงว่าไม่ได้อยู่ในพื้นที่ ที่เกี่ยวข้องกับการตัดไม้ ทำลายป่าและไม่ได้อยู่ในพื้นที่ บุกรุกป่า
ในด้านทิศทางอุ ตสาหกรรมยางในอนาคต คาดว่าแนวโน้มของอุ ปทานยางพาราจะอยู่ในระดับทรงตั วหรือลดลง ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ควรจั บตามอง คือความต้องการใช้ยางในอุ ตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งบริโภคยางธรรมชาติถึงร้อยละ 90 ของการบริโภคทั้งหมด จึงมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิ ศทางราคายางธรรมชาติในอนาคต