นวัตกรรมศาสตร์พระราชา
INSURANCE

ทิพยสืบสาน รักษา ต่อยอด นวัตกรรมศาสตร์พระราชา ครั้งที่ 29

ทิพยสืบสาน รักษา ต่อยอด นวัตกรรมศาสตร์พระราชา ครั้งที่ 29 ศึกษาแนวทางเสริมสร้างอาชีพด้วยกาแฟขี้ชะมด และปลูกไม้ดอก ณ โครงการพัฒนาส่วนพระองค์ จังหวัดชุมพร น้อมรำลึก 100 ปี กรมหลวงชุมพร

ประเทศไทยกำลังก้าวสู่การเปลี่ยนแปลง เพื่อเดินหน้าสู่ความเจริญและแข็งแกร่งทัดเทียมนานาอารยประเทศ นับว่าเป็นความสอดคล้องต่อการเตรียมความพร้อม เพื่อก้าวสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ตามเป้าหมายของ UNSDGs ที่ตั้งเป้าหมายไว้เพื่อให้บรรลุภายในปี คศ 2030 หรือ พ.ศ. 2573

โครงการทิพยสืบสาน รักษา ต่อยอด นวัตกรรมศาสตร์พระราชา มุ่งมั่นเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืนมาอย่างต่อเนื่องจนถึงครั้งที่ 29 โดยครั้งนี้เป็นการนำครูอาจารย์และผู้ที่สนใจศึกษาในเรื่องการพัฒนาส่งเสริมอาชีพ กับกิจกรรมการเลี้ยงชะมด ชมแหล่งผลิตกาแฟขี้ชะมด เพื่อเพิ่มมูลค่ากาแฟสำหรับผู้ที่สนใจเพื่อสร้างอาชีพ

จากข้อมูลรายงานตลาดอาหารในประเทศไทย ระบุว่าแนวโน้มตลาดเครื่องดื่มกาแฟของไทยจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 คาดว่า จะมีมูลค่าตลาด 64,517 ล้านบาท และมีอัตราการขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 3.8 ต่อปี

อีกทั้งข้อมูลตลาดกาแฟโลกคาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดกาแฟในช่วงปี 2564-2566 จะเติบโตอย่างต่อเนื่องปีละ 9% แสดงให้เห็นถึงโอกาสในการสร้างความเจริญเติบโตในตลาดกาแฟยังมีอยู่อีกมาก เหมาะสำหรับผู้ที่สนใจสร้างอาชีพเสริมจากกาแฟ

นอกจากนี้ยังพาศึกษาการปลูกดอกหน้าวัว ไม้ดอกที่มีความสวยงามเป็นเอกลักษณ์และสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรได้อย่างต่อเนื่อง ณ โครงการพัฒนาส่วนพระองค์ จังหวัดชุมพร ช่วยให้เกิดการสร้างงานสร้างอาชีพ ขยายผลสู่การค้าขาย

สร้างความเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับชุมชน พร้อมการเดินศึกษาธรรมชาติ และพืชพันธุ์สันทรายริมทะเล เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ในพื้นที่สันทรายที่มีความสมบูรณ์และสูงที่สุดในประเทศไทย

โครงการพัฒนาส่วนพระองค์ จ. ชุมพร มีเนื้อที่ประมาณ 488 ไร่เป็นพื้นที่อยู่ติดทะเล มีสภาพเป็นดินทรายชายทะเลที่ถูกคลื่นซัดทับถมเป็นเวลานานจนกลายสภาพเป็นเนินทราย (Sand Dune) กระจายอยู่ทั่วไป

และภายหลังที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้เสด็จมาเยือนในปี 2541 ได้ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้อนุรักษ์สภาพแวดล้อมเดิมที่มีสภาพเป็นสันทรายป่าชายหาด

พัฒนาเป็นพื้นที่เพื่อการเกษตรโดยการปรับปรุงดินตามความเหมาะสม เพื่อให้เป็นแหล่งวิจัยและพัฒนาส่งเสริมอาชีพและแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดชุมพรเนื่องจากมีศักยภาพเหมาะสมทุกด้าน เป็นตัวอย่างให้เกษตรกรเข้ามาศึกษาหาความรู้ฝึกปฏิบัติงานจนนำไปประกอบอาชีพได้ (ข้อมูลจากโครงการพัฒนาส่วนพระองค์ จ.ชุมพร)

และเนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปี สิ้นพระชนม์กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ “องค์บิดาของทหารเรือไทย” ต้นราชสกุล “อาภากร” ผู้ทรงสถาปนาและวางรากฐานการบริหารงานของกองทัพเรือให้กับประเทศไทย ทางโครงการฯ จึงได้จัดพิธีบวงสรวงใหญ่ เพื่อน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ณ ศาลกรมหลวงชุมพรฯ หาดทรายรี

โดยได้รับเกียรติจาก ดร.สมพร สืบถวิลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้ง และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. ทิพยประกันภัย เป็นประธานในพิธี พร้อมได้กล่าวว่า “ทิพยประกันภัย มีความยินดีที่ได้สนับสนุนกิจกรรม ทิพยสืบสาน รักษา ต่อยอด นวัตกรรมศาสตร์พระราชา มาตั้งแต่ ปี 2561 จนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 6 ปี

เพราะเป็นโครงการที่มีประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม ที่ร้อยเรียงเรื่องราวของ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นศูนย์รวมใจของคนไทย ให้ได้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาตนเอง ครอบครัว สังคม ก่อให้เกิดความรู้รักสามัคคี กตัญญู รู้คุณต่อแผ่นดิน ซึ่งเราควรต้องดำรงรักษาไว้เพื่อความยั่งยืนของประเทศชาติสืบต่อไป”

นางวิชชุดา ไตรธรรม ที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “DNA ของทิพยประกันภัย คือสีธงชาติ เรามีความตั้งใจจัดโครงการฯ นี้ขึ้นมาเพื่ออนาคตของชาติไทย เราต้องการสร้างคนดี เพื่อขยายพื้นที่ให้คนดีมาทำกิจกรรมและสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ร่วมกัน

การลงพื้นที่และลงมือทำกิจกรรมในโครงการต่างๆ เป็นการเรียนรู้จากสถานที่จริง ซึ่งประเทศไทยเรามีแหล่งเรียนรู้มากมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการในพระราชดำริ 5,151 โครงการทั่วประเทศ

จึงอยากให้ ครูอาจารย์ที่เข้าโครงการได้สัมผัสประสบการณ์ที่ดีและนำไปสอนต่อเยาวชน กิจกรรมของเราเป็นการสอนโดยไม่สอน คือการสอนแบบลงมือทำให้ดู เพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ และสามารถนำไปใช้กับชีวิตจริงได้”

ด้าน ดร. ดนัย จันทร์เจ้าฉาย ประธานมูลนิธิธรรมดี กล่าวเสริมว่า “คุณธรรม 5 ประการสำหรับการดำรงชีวิตอย่างมีความสุขและไม่เบียดเบียนผู้อื่น ได้แก่ความพอเพียง การมีวินัย ความสุจริต มีจิตอาสา และกตัญญู

คือสิ่งที่ได้นำมาร้อยเรียงในทุกกิจกรรมของโครงการ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้เข้าใจและนำไปใช้ให้เกิดเป็น “วิถีชีวิต” จะส่งเสริมให้ตนเองได้เกิดการพัฒนาต่อยอดไปถึงครอบครัว และชุมชนอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ช่วยให้สังคมประเทศชาติเกิดความเจริญก้าวหน้า

และพร้อมที่จะก้าวสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ UNSDGs 17 ข้อ ภายในปี คศ 2030 หรือ พ.ศ. 2573 ดังที่ประเทศไทยกำลังเดินหน้าเปลี่ยนแปลงอยู่ขณะนี้”

ใส่ความเห็น