NEWS SPECIAL

FETCO เผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน คาดหวังปัจจัยหนุนจากการเลือกตั้งและเงินทุนไหลเข้า

FETCO เผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนคงอยู่ในเกณฑ์ทรงตัว นักลงทุนคาดหวังปัจจัยหนุนจาก การเลือกตั้ง และเงินทุนไหลเข้า ปัจจัยฉุดคือ แนวโน้มขึ้นดอกเบี้ยของเฟด และสถานการณ์ช่วงเลือกตั้ง

•ระบุกลุ่มนักลงทุนบุคคล กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ และกลุ่มนักลงทุนสถาบัน ความเชื่อมั่น อยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” ส่วนกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง”

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ผลสำรวจในเดือนเมษายน 2566 พบว่า

“ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index: ICI) ในอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 110.09 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 15.1% จากเดือนก่อนหน้า

โดยยังอยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” นักลงทุนมองว่า การเลือกตั้ง ในประเทศ จะเป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด รองลงมาคือความคาดหวังต่อการไหลเข้าของเงินทุน และการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว

สำหรับปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ แนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) รองลงมาคือสถานการณ์การเมืองในประเทศในช่วง การเลือกตั้ง และสถานการณ์เงินเฟ้อ

ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) สำรวจในเดือนเมษายน 2566 ได้ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้

ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (กรกฎาคม 2566) อยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” (ช่วงค่าดัชนี 80-119) เพิ่มขึ้น 1% จากเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 110.09

ความเชื่อมั่นของกลุ่มนักลงทุนบุคคล กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ และกลุ่มนักลงทุนสถาบัน อยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” ในขณะที่ความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง”

หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดท่องเที่ยวและสันทนาการ (TOURISM)

หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ (PETRO)

ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ การเลือกตั้งในประเทศ

ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ แนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED)

ผลสำรวจ ณ เดือนเมษายน 2566 รายกลุ่มนักลงทุนพบว่า มีเพียงความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติปรับเพิ่มขึ้น 66.7% อยู่ที่ระดับ 125.00 ในขณะที่กลุ่มอื่นปรับลดลง โดยนักลงทุนบุคคลปรับลด 13.6% อยู่ที่ระดับ 96.83 กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับลด  12.5% อยู่ที่ระดับ 87.50 และกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศปรับลด 14.3% อยู่ที่ระดับ 112.50

SET Index ในเดือนเมษายน 2566 ปิดที่ 1,529.12 จุด ปรับตัวลดลง 5% จากเดือนก่อนหน้า จากความกังวลของนักลงทุนในหลายประเด็น อาทิ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในหลายประเทศที่ไม่เป็นไปตามคาด

รวมถึงเศรษฐกิจไทยหลัง สศค. ปรับลดประมาณการ GDP ไทยปี 2566 จาก 3.8% เป็น 3.6% ความกังวลต่อแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางในสหรัฐฯ และยุโรปเพื่อดูแลสถานการณ์เงินเฟ้อต่อเนื่อง

อีกทั้งสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐ ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับไต้หวันและรัสเซีย โดยในเดือนเมษายน 2566 นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิต่อเนื่องกว่า 7,901 ล้านบาท โดยตั้งแต่ต้นปี 2566 นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิรวม 63,960 ล้านบาท ปริมาณซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในเดือนเมษายน 2566 อยู่ที่ 14,134 ล้านบาท

ปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตามได้แก่ ปัญหาเสถียรภาพระบบการเงินในสหรัฐฯ และยุโรป แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯชะลอตัวและการอ่อนค่าของค่าเงินดอลล่าร์ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย รวมถึงประเทศที่อิงค่าเงินดอลล่าร์เป็นหลัก

และอาจกระทบตลาดหุ้นจากการที่บริษัทอาจมีกำไรลดลง นโยบายการเงินของธนาคารกลางในประเทศเศรษฐกิจหลักเพื่อจัดการปัญหาเงินเฟ้อ อีกทั้งสถานการณ์์ความขัดแย้งเชิงภููมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะสหรัฐและจีนที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น

ในส่วนของปัจจัยในประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ ผล การเลือกตั้ง ในประเทศ ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 นี้ และการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ซึ่งจะกระทบต่อการใช้จ่ายภาครัฐ การฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว และการขยายตัวของการบริโภคของภาคเอกชน ที่จะเป็นแรงหนุนให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. ซึ่งจะมีการประชุมในวันที่ 31 พฤษภาคม 2566”

ที่มา : สภาธุรกิจตลาดทุนไทย

ยักษ์ลงทุน

ใส่ความเห็น