บลจ.กรุงศรี ตั้งเป้ามูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหาร (AUM) ที่ 6 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ 5.4 แสนล้านบาท ชี้ กรอบดัชนีหุ้นไทย ปีนี้ 1,520 – 1,740 จุด ชูกลุ่มบริโภค – ค้าปลีกยังดูดี
นางสุภาพร ลีนะบรรจง กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด (บลจ.กรุงศรี) หรือ KSAM เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทในปี 2566 ว่า บริษัทตั้งเป้ามูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหาร (AUM) ที่ 6 แสนล้านบาท
เติบโตเพิ่มขึ้นมากกว่า 10% จากlสิ้นปี 2565 ที่มี AUM อยู่ที่ 5.4 แสนล้านบาท และยังคงรักษาอันดับ 5 ในตลาด โดยมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นทั้งในส่วนของกองทุนรวม และกองทุนส่วนบุคคล (ข้อมูล : AIMC ณ 30 ธ.ค. 65)
ขยายกลุ่มลูกค้าดัน AUM โตต่อเนื่อง
สำหรับแผนธุรกิจในระยะถัดไป บริษัทยังเดินหน้าขับเคลื่อนภายใต้ One Retail ซึ่งเป็นการผสานความร่วมมือระหว่างบริษัทในกลุ่มกรุงศรี มุ่งมั่นนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม พร้อมสร้างผลตอบแทนที่ดีให้ผู้ลงทุน ให้ความสำคัญกับการขยายกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ในวงกว้าง
พร้อมเพิ่มตัวแทนจำหน่ายและการหาช่องทางการขายใหม่ๆ ที่มีศักยภาพ รวมทั้งการพัฒนาบริการในรูปแบบดิจิทัล เพื่อให้การลงทุนเป็นเรื่องง่ายและมอบประสบการณ์การลงทุนที่ดีให้กับลูกค้า
อย่างไรก็ดี ในปี 2566 บริษัทได้เปิดเสนอขายกองทุนเปิดกรุงศรี The One (KF1MILD, KF1MEAN, KF1MAX) ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ถือเป็นกองทุนที่โดดเด่นด้วยการผสานจุดแข็งของกลุ่มกรุงศรีและพันธมิตรด้านการลงทุน เพื่อเป็นทางเลือกที่ตอบทุกเป้าหมายผลตอบแทนจากการคัดสรรกองทุนเด่นเข้ามาอยู่ในพอร์ตการลงทุนของกรุงศรี The One เหมาะสำหรับการถือเป็นพอร์ตการลงทุนหลัก
และจะมีการเสนอขายกองทุนใหม่ๆ ที่มีความน่าสนใจ และเหมาะกับสภาวะตลาดเพิ่มเติม ขณะที่ในช่วงที่เหลือของปีคาดว่าจะมีกองทุนทยอยเปิดขายต่อเนื่อง โดยจะเน้นไปที่กองทุนต่างประเทศเป็นหลัก
มองบวกตลาดต่างประเทศ
ด้านนายศิระ คล่องวิชา ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มการลงทุน บลจ.กรุงศรี กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปีนี้มีแนวโน้มเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลง เนื่องจากต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้น และภาคธนาคารมีแนวโน้มที่จะมีความเข้มงวดในการปล่อยกู้มากขึ้น
ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อจะยังคงตัวอยู่ในระดับสูงไปอีกระยะหนึ่ง และมีแนวโน้มชะลอลงในช่วงครึ่งปีหลังจากผลของฐานสูงในปีที่แล้ว
สำหรับปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจโลก เช่น การใช้จ่ายของผู้บริโภคและตลาดแรงงานของสหรัฐที่ยังคงแข็งแกร่ง การเปิดประเทศและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน การชะลอตัวของเงินเฟ้อ การคลี่คลายของปัญหาในภาคอุปทาน การยุติวงจรดอกเบี้ยขาขึ้น
โดยมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตามอง เช่น การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และผลกระทบอื่นๆจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง ปัญหาสถาบันการเงินในประเทศเศรษฐกิจหลัก การกีดกันการค้า ความผันผวนของค่าเงิน สงคราม เป็นต้น
อย่างไรก็ดี บลจ.กรุงศรี ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นต่างประเทศ ที่ได้ปรับตัวลดลงมาอยู่ในระดับไม่แพง ขณะที่แรงกดดันจากนโยบายการเงินที่เข้มงวดมีแนวโน้มลดลงหลังจากเงินเฟ้อเริ่มมีทิศทางชะลอตัวลงส่งผลบวกต่อหุ้นโดยเฉพาะในกลุ่มหุ้นเทคโนโลยี
แนะนำการลงทุนชูตลาดหุ้นจีนน่าสน
สำหรับธีมการลงทุนที่น่าสนใจในปี 2566 ได้แก่ การลงทุนในหุ้นจีน เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มฟื้นตัวแข็งแกร่ง และตลาดหุ้นจีนมักไม่เคลื่อนไหวไปตามการปรับตัวของตลาดหุ้นอื่นๆ
และการลงทุนในหุ้นคุณภาพสูงที่มีแบรนด์แข็งแกร่ง เนื่องจากมีแนวโน้มการเติบโตของรายได้และกำไรที่สมํ่าเสมอ ซึ่งมีความเหมาะสมในภาวะที่ตลาดมีความผันผวนสูง รวมทั้งการลงทุนในกลุ่มพลังงานสะอาดซึ่งได้รับการสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐทั่วโลก
สำหรับภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทย มองว่าระยะสั้นจะยังคงมีความผันผวนจากปัจจัยภายนอกประเทศ และความกังวลของนักลงทุนต่อวิกฤติการเงินที่อาจจะเกิดขึ้นได้
มองหุ้นไทยปีนี้ดัชนี 1,740 จุด
ส่วนในระยะกลางถึงยาว เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะตอบรับปัจจัยพื้นฐานที่มีแนวโน้มดีขึ้นจากการเติบโตทางเศรษฐกิจ ที่มีปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวและการเลือกตั้ง โดยยังคงมุมมอง กรอบดัชนีหุ้นไทย ปีนี้ไว้ที่ 1,520 – 1,740 จุด
โดยแนะนำหุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค กลุ่มค้าปลีก กลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่มีการปรับตัวลงมา ขณะที่กลุ่มท่องเที่ยวแม้จะได้อานิสงส์จากการเปิดประเทศ แต่กลุ่มท่องเที่ยวฟื้นขึ้นมาค่อนข้างมากตั้งแต่ปีที่แล้ว ทำให้ในปีนี้อาจไม่ได้ปรับตัวขึ้นมากนัก จึงควรเลือกลงทุนเป็นรายตัว