ONE-GO2
FUND

บลจ.วรรณ โชว์ยอดกองทุนทางเลือก ไลฟ์ เซทเทิลเมนท์ โตทะลุเป้า

บลจ.วรรณ โชว์การตอบรับเกินคาดต่อเนื่อง หลังประสบความสำเร็จดันยอดจองซื้อกองทุนเปิด วรรณ ไลฟ์ เซทเทิลเมนท์ 4 ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย (ONE-LS4-UI) ทะลุ 3.3 พันล้านบาท ขึ้นแท่นเป็นกองทุนเปิดไอพีโออันดับหนึ่งใหญ่สุดในรอบปีไม่รวมกองทุนตราสารหนี้

•เชื่อกองทุน Life Settlement เป็นทางเลือกการลงทุนในช่วงความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ มองประชุมเฟด 21-22 มี.ค. นี้ อาจลดการใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัว

นายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วรรณ เปิดเผยว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัทประสบความสำเร็จจากการนำเสนอขาย กองทุนเปิด วรรณ ไลฟ์ เซทเทิลเมนท์ 4 ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย (ONE-LS4-UI) ซึ่งเป็นกองทุนสินทรัพย์ทางเลือกที่ลงทุนบนกรมธรรม์ประกันชีวิตในสหรัฐฯ (Life Settlement) แห่งเดียวในประเทศไทย

ซึ่ง Life Settlement เป็นธุรกรรมที่มีกฎหมายคุ้มครองใน 43 รัฐ หรือคิดเป็น 90% ของจำนวนรัฐทั้งหมดในสหรัฐฯ  ซึ่งเป็นตลาดประกันชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในโลกทั้งตลาดแรกและตลาดรอง โดยกองทุน ONE-LS4-UI มียอดขายประมาณ  3.3 พันล้านบาท ถือเป็นการ IPO กองทุนสินทรัพย์ทางเลือกที่ใหญ่ที่สุดในตลาดถัดจากกองทุน ONE-LS3-UI ซึ่งมียอดขายขณะนั้น ประมาณ 2.2 พันล้านบาท

ทั้งนี้ ONE-LS4-UI จัดเป็นกองทุนประเภท Feeder Fund ที่ลงทุนในกองทุนหลักคือ กองทุน Feeder Fund จะลงทุนผ่าน One Life Settlement Limited Partnership – Main Class กองทุนหลัก บริหารจัดการโดย SL Investment Management Limited

“ผลตอบแทนของ Life Settlement มาจากสินไหมเป็นหลัก โดยบริษัทประกันจะทำการแบ่งเบี้ยประกันที่ได้รับไว้อย่างชัดเจน สำหรับเป็นเงินสำรองเพื่อจ่ายสินไหม เงินลงทุน และเงินรายได้บริษัท ทำให้การลงทุนของบริษัทประกันไม่กระทบกับเงินสำรองที่จ่ายสินไหมโดยตรง

กองทุน One Life Settlement มีนโยบายลงทุนในกรมธรรม์ประกันชีวิต ซึ่งมีความเกี่ยวข้องต่ำกับสินทรัพย์ทางการเงินอื่นๆ และปัจจัยทางเศรษฐกิจ จึงช่วยในการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวม” นายพจน์กล่าว

นายพจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สถานการณ์การลงทุนในปัจจุบัน ตลาดเริ่มให้น้ำหนักมากขึ้นว่าเฟดอาจลดการใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัว โดยมองว่าอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย อยู่ที่ 0.25% ในการประชุมในวันที่ 21-22 มี.ค. นี้

และคาดว่าเฟดอาจจะหยุดขึ้นดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปีเป็นต้นไป หลังจากก่อนหน้านี้มีการคาดการณ์ว่าเฟดจะพิจารณาอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.50% หลังความไม่แน่นอนของภาคธนาคารเพิ่มสูงมากขึ้น

ทั้งจากเหตุการณ์การสั่งปิดกิจการของ Silicon Valley Bank (SVB) และ Signature Bank รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับสถานะทางการเงินของ Credit Suisse ซึ่งสะท้อนความเสี่ยงในระบบในปัจจุบัน

ความไม่แน่นอนยังคงมีอยู่ในตลาด จากความกังวลในภาคธนาคารที่เกิดขึ้นสะท้อนได้ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ ต้องใช้เวลาเพื่อพิจารณาถึงการดำเนินทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างรอบคอบ โดยมีเป้าหมายเพื่อลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจ

รวมถึงรักษาเสถียรภาพในระบบการเงิน สถานการณ์ความไม่แน่นอนดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อความผันผวนของสินทรัพย์เสี่ยงอย่างตลาดหุ้นและผลตอบแทนของตราสารหนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ทั้งนี้บริษัทคาดว่า ผลกระทบจะจำกัดเฉพาะในกลุ่มธนาคารขนาดเล็กและธุรกิจที่มีสถานะทางการเงินที่อ่อนแอ นอกจากนี้ การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอาจจะยังมี downside risk จากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในปีนี้ยังมีแนวโน้มชะลอตัวลง โดยมองว่าจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวขึ้นในปี 2567 ” นายพจน์กล่าว

สำหรับมุมมองต่อเศรษฐกิจไทย นายพจน์ กล่าวเสริมว่า IMF คาดการณ์ GDP ของไทยในปี 2566 จะขยายตัว 3.7% เพิ่มขึ้นจากระดับ 2.8% ของปี 2565 และจากเหตุการณ์สถาบันการเงินในต่างประเทศสู่สถาบันการเงินไทย

บริษัทมองว่าผลกระทบต่อสถาบันการเงินไทยค่อนข้างน้อย เนื่องจากสภาพคล่องของธนาคารในไทยสูง ประกอบกับความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อและการบริหารจัดการความเสี่ยงในการลงทุนที่ดี  จึงไม่น่ามีความกังวลต่อระบบสถาบันการเงินและตลาดทุนไทย

ยักษ์ลงทุน

ใส่ความเห็น