NEWS

KJL รุกโปรดักส์ใหม่-ขยายโรงงานรับดีมานด์พุ่ง ลั่นรายได้-กำไรโต 2 เท่าในปี 70

นายเกษมสันต์ สุจิวโรดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กิจเจริญ เอ็นจิเนียริ่ง อีเลคทริค จำกัด (มหาชน) หรือ KJL เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าขยายธุรกิจไปยังหลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็น อสังหาริมทรัพย์ กลุ่มโรงพยาบาล อุตสาหกรรมพลังงานทดแทน กลุ่มอุตสาหกรรม IT และ Data Center รวมถึง เทคโนโลยี IOT ที่จะตอบสนองธุรกิจ และการต่อยอดธุรกิจสู่ยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต ซึ่งด้วยแผนงานที่วางไว้ทำให้บริษัทฯ มีโอกาสเติบโตทั้งในด้านกำไร และรายได้ในอัตราที่สูงต่อเนื่องกว่า 2 เท่าตัวภายในปี 2570 ซึ่งบริษัทฯได้รองรับการเติบโตด้วยการขยายตัวแทนจำหน่ายไปทั่วประเทศ และขยายกำลังการผลิตของโรงงาน และที่สำคัญบริษัทฯมีแผนที่จะนำเสนอสินค้าให้ครอบคลุมทุกอุตสาหกรรม รวมถึงใช้เทคโนโลยีในกระบวนการผลิตด้วย Digital Industry 4.0 เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในภาคการผลิต

ในขณะที่ปี 2565 บริษัทฯมีรายได้รวม 1,026.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 180.73 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 21.38% จากปีก่อนหน้าที่มีรายได้รวม 845.34 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 131.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.59 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 39.97% จากปีก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิ 94.04 ล้านบาท

โดยที่รายได้ของบริษัทฯที่เพิ่มขึ้นมาจากยอดขายสินค้ามาตรฐานเคเจแอล ประกอบไปด้วยตู้สวิตช์บอร์ด รางเดินสายไฟ และกล่องพูลบ๊อกซ์ ที่เพิ่มขึ้นจำนวน 171.10 ล้านบาท ตามการฟื้นตัวของสภาวะเศรษฐกิจ และการขยายการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC รวมถึงรายได้จากการขายสินค้าสั่งผลิต หรือ MTO ที่เพิ่มขึ้นจำนวน 35.64 ล้านบาท และรายได้จากการขายเศษเหล็กที่เพิ่มขึ้นจำนวน 5.68 ล้านบาท ตามยอดขายสินค้ามาตรฐานเคเจแอลที่เพิ่มขึ้น

ในขณะที่กำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นนั้นเป็นผลมาจากการที่บริษัทฯปรับราคาสินค้าเพิ่มขึ้น ตามราคาต้นทุนวัตถุดิบหลักที่สูงขึ้น รวมถึงบริษัทฯมีการใช้เทคโนโลยีระบบควบคุมการผลิตแบบ Industry 4.0 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ได้แก่ เครื่องตัดเลเซอร์ เครื่องเจาะด้วยระบบคอมพิวเตอร์ เครื่องพับ และหุ่นยนต์พับอัตโนมัติ เป็นต้น ทำให้บริษัทฯ มีต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับพนักงานฝ่ายผลิตลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กำไรขั้นต้นของบริษัทฯปรับสูงขึ้นเป็น 28.62% จากปีก่อนหน้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 25.46% และอัตรากำไรสุทธิของบริษัทฯปรับสูงขึ้นเป็น 12.83% จากปีก่อนหน้าที่มีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 11.12%

“ในปี 65 ที่ผ่านมาผลประกอบการของเราเติบโตได้จากยอดขายสินค้ามาตรฐาน และสินค้าสั่งผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น ถือว่าเป็นกลุ่มสินค้าที่มีสัดส่วนสูงที่สุดของบริษัทฯ ซึ่งยอดขายที่เพิ่มขึ้นนั้นเป็นไปตามการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจ การขยายตัวของยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และพลังงานทดแทน รวมถึงการขยายการลงทุนใน EEC ของภาครัฐและเอกชน ยังเป็นปัจจัยหนุนให้ความต้องการสินค้าของเราเพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ปีก่อนต่อเนื่องจนถึงปีนี้ และที่สำคัญเรายังใช้เทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการผลิต ทำให้สามารถควบคุมต้นทุน และเกิดประสิทธิภาพสูงสุดในกระบวนการผลิตอีกด้วย” นายเกษมสันต์กล่าว

 

ใส่ความเห็น