บล.ไพน์
FUND

“บล.ไพน์ เวลท์”เสิร์ฟกลยุทธ์ลงทุนครึ่งปีหลัง รับมือทุกความเสี่ยงดักทางหุ้นโลกไปต่อ

“บล.ไพน์ เวลท์”เสิร์ฟกลยุทธ์ลงทุนครึ่งปีหลัง รับมือทุกความเสี่ยงดักทางหุ้นโลกไปต่อ

บล. ไพน์ เวลท์ โซลูชั่น ฉายภาพการลงทุนครึ่งปีหลัง ตลาดหุ้นโลกรักษาทรงขาขึ้นเดินหน้าไปได้สวย ให้น้ำหนักตลาดสหรัฐ-ยุโรป-จีน-เวียดนาม-อินเดีย-เกาหลีใต้ ยังมีดี พร้อมปรับโฟกัสตลาดหุ้นไทย มองปัจจัยภายในประเทศมีโอกาสหนุนดัชนีสิ้นปี 1,300-1,350 จุด ย้ำจุดสำคัญนักลงทุนยังต้องเลือกกระจายการลงทุน

นายปิยะทัศน์ พาโสมนัสสกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการ และหัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุน บล.ไพน์ เวลท์ โซลูชั่น เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง นำโดยตลาดสหรัฐที่ได้แรงหนุนจากผลประกอบการแข็งแกร่ง บวกกับโอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะลดดอกเบี้ย แต่ราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่อง ประกอบกับการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์มีโอกาสที่ตลาดอาจต้องเผชิญกับความผัวผวน ส่งผลให้นักลงทุนสถาบันเริ่มหันกระจายการลงทุนไปยังภูมิภาคอื่น ซึ่งจะทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐเพิ่มความผันผวนขึ้น

ดังนั้นในช่วงครึ่งปีหลังนักลงทุนควรมองหาการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดี มีการเติบโต และควรมองตลาดที่มี Valuation ที่น่าสนใจ โดยแบ่งพอร์ตการลงทุนตามระดับความเสี่ยงของผู้ลงทุนออกเป็น 3 รูปแบบ

เสิร์ฟพอร์ต 3 สไตล์ตอบโจทย์ทุกความเสี่ยง

ได้แก่ 1.Conservative Portfolio: สำหรับผู้รับความเสี่ยงต่ำ เน้นควบคุมความผันผวน โดยมีสัดส่วนลงทุนในตราสารหนี้ 70%, หุ้น 25% และสินทรัพย์ทางเลือก 5% ของพอร์ต โดยกองทุนตราสารหนี้ในประเทศที่แนะนำ เช่น กองทุน ES-CASH โดยมี Yield to Maturity ของพอร์ตราว 1.73% ส่วนกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ เช่น กองทุน UGIS-N โดยมี Yield to Maturity ของพอร์ตราว 6.55%

2.Growth Portfolio: สำหรับผู้รับความเสี่ยงสูง เน้นสร้างผลตอบแทนสูง โดยมีสัดส่วนลงทุนในหุ้น 70%, ตราสารหนี้ 20% และสินทรัพย์ทางเลือก 10% ซึ่งมีการลงทุนใน หุ้นจีน, เกาหลีใต้ และเวียดนาม แนะนำกองทุนหุ้นจีน เลือก MEGA10AICHINA-A , กองทุนหุ้นเกาหลีใต้ เลือก SCBKEQTG ส่วนกองทุนหุ้นเวียดนาม เลือก PRINCIPAL VNEQ-A

และ 3. Ultra-High Net Worth: สำหรับลูกค้าระดับสูง เน้นการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกที่หลากหลาย ไม่จำกัดเฉพาะในหุ้น เช่น สินทรัพย์นอกตลาด, กรมธรรม์ประกันชีวิต หรือเงินสกุลดิจิทัล โดยแนะนำกองทุน Private Cradit เช่น ASP-SC-UI หรือกองทุน Private Infrastructure เช่น MPINFRA-UI และกองทุน ONE-LIFESET-UIG ที่ลงทุนในกรมธรรม์ประกันชีวิตในสหรัฐฯ ซึ่งมีการซื้อขายในตลาดรอง

จีน-เวียดนาม-เกาหลีใต้เกาะกลุ่มแข่งกันเด่น

นายปิยะทัศน์ กล่าวว่า ช่วงครึ่งหลังของปีนี้คาดว่านักลงทุนสถาบันจะโยกย้ายเงินทุนออกจากตลาดหุ้นสหรัฐไปยังตลาด Emerging อาทิ จีน ฮ่อง ไต้หวัน เน้นกลุ่มเทคโนโลยี ขณะที่อินเดียอาจเริ่มเห็นความเปราะบางของเศรษฐกิจ แต่ก็ยังถือว่าเป็นตลาดที่เติบโต แม้ว่าราคาไม่ถูกแล้ว แนะมีหุ้นอินเดียไว้ในพอร์ตบ้างและควรถือให้นานกว่า 1 ปี

ส่วนตลาดหุ้นเกาหลีใต้ก็ยังน่าสนใจหลังปัญหาการเมืองในประเทศคลี่คลาย และมองยังมี upside ราว 30% จากเป้าหมายที่รัฐบาลเกาหลีใต้ตั้งเป้าดัชนีไปถึง 4,500 จุดภายใน 5 ปี ซึ่งกลุ่ม ICT กลุ่มอุตสาหกรรมและไฟแนนซ์เป็น 3 กลุ่มหลักของตลาด หรือมีสัดส่วน 65%

ส่วนตลาดหุ้นเวียดนาม ซึ่งยังเป็นตลาด Frontier Market ดูแล้วยังห่างไกลที่จะขึ้นเป็น Emerging Market อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจเวีดยนามเติบโต 7% มาติดต่อหลายปี และยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดีต่อเนื่อง ตลาดหุ้นยังมี upside มากกว่า 10% แต่ก็ยังมีข้อเสียที่เงินด่องอ่อนตัวมาก ซึ่งเห็นว่าเงินด่องไม่น่าจะอ่อนค่าไปมากกว่านี้แล้ว

จับตาหุ้นไทยมีลุ้น 1,350 จุด รับการเมืองเปลี่ยนขั้ว

นายปิยะทัศน์ กล่าวเพิ่มเติมถึงตลาดหุ้นไทยว่า ในขณะนี้เริ่มมีสัญญาณที่ดีจากความหวังของนักลงทุนต่อภาคการเมืองไทย ที่มองว่ามีโอกาสที่จะเกิดการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง ประกอบกับคาดหวังต่อการเบิกจ่ายงบประมาณและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะมีออกมา

อย่างไรก็ตามตลาดส่วนใหญ่เริ่มให้น้ำหนักต่อประเด็นหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลง จากกรณีคลิปเสียงสนทนากับผู้นำของกัมพูชา ทั้งนี้ในมุมมองของ บล.ไพน์ เวลท์ โซลูชั่น ได้ปรับมุมมองตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลัง จาก Neutral เป็น Slightly Overweight เป้าหมายสิ้นปีนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปที่ 1,300-1,350 จุด

ยักษ์ลงทุน

ใส่ความเห็น